ปัจจุบัน ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเลคือหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกต่างกำลังให้ความสำคัญ
ส่งผลให้อาชีพอย่าง ‘นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล’ กลายเป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับความสนใจมากขึ้นจากคนรุ่นใหม่ จากข้อมูลของสำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ (Bureau of Labor Statistics) อาชีพดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโตถึง 7% ในช่วงปี 2023-2033 เลยทีเดียว
แต่ขณะเดียวกัน ในประเทศไทยเอง กลับเป็นอาชีพที่ยังถือว่าขาดแคลน การพัฒนากำลังบุคลากรด้านนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล จึงมีความจำเป็นอย่างมาก บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด จึงได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สานต่อการจัดค่ายนิเวศวิทยาทางทะเลภาคฤดูร้อน โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 32 เปิดโอกาสให้เยาวชนในระดับมหาวิทยาลัยที่สนใจงานด้านนี้ ได้พัฒนาทักษะเรียนรู้ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้น
โดยในปีนี้ มีนักศึกษาเข้าร่วมทั้งในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท จาก 19 มหาวิทยาลัยทั้งประเทศ จำนวนทั้งหมดกว่า 68 คน โดยหลักสูตรมีทั้งรูปแบบออนไลน์และภาคสนามที่จังหวัดภูเก็ต ลองไปสำรวจเบื้องหลังความสำเร็จของ โครงการค่ายนิเวศวิทยาทางทะเล ครั้งที่ 32 กับภารกิจการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์ท้องทะเลไทยอย่างยั่งยืน
จากจุดเริ่มต้น การพัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้านนิเวศทางทะเล
“เชฟรอนเป็นบริษัทพลังงานที่มีพันธกิจในการจัดหาพลังงานเพื่อความมั่นคงของประเทศ และอีกหนึ่งภารกิจของเราก็คือการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างคนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นค่ายนี้ตอบโจทย์มากในเรื่องของการพัฒนาบุคลากร นักวิทยาศาสตร์ทางท้องทะเล ร่วมไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเลไทย หรือเรียกว่าการสร้างคุณหมอแห่งท้องทะเล ให้ร่วมกันมาช่วยกันแก้ไขเยียวยาปัญหาทางท้องทะเลไทยที่ทวีความรุนแรงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง” คุณพรสุรีย์ กอนันทา รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เล่าถึงจุดประสงค์ของโครงการที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 32 สะท้อนถึงความสำเร็จของโครงการที่สร้างบุคลากรคุณภาพออกสู่ตลาดแรงงานได้เป็นอย่างดี
“โครงการนี้เป็นส่วนสำคัญในการช่วยเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษาที่อาจจะไม่ได้เคยสัมผัสประสบการณ์จริง หรือนักศึกษาที่เรียนในสาขาอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายวิชาทางทะเลโดยตรงได้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาต่อยอดความรู้ที่ตัวเองมี ไม่ว่าจะไปเรียนต่อ หรือการนำไปต่อยอด เพื่อเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนางานวิทยาศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทย” คุณเผ่าเทพ เชิดสุขใจ นักวิชาการประมงชํานาญการ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน อธิบายถึงภาพรวมของโครงการ ที่มีจุดประสงค์เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ทดลองพิสูจน์ถึงเส้นทางในอนาคตของตัวเอง
สู่การบ่มเพาะ นักวิทย์ทะเลรุ่นใหม่
ความน่าสนใจของค่ายในปีนี้ คือการปูพื้นฐานตั้งแต่ภาคทฤษฎี ซึ่งมีการจัดการอบรมในรูปแบบออนไลน์ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยได้นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันการศึกษา และอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศ มาให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานโครงสร้างและหน้าที่ของระบบนิเวศทางทะเล การประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อแก้ไขและจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายระดับชาติและสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
เมื่ออบรมภาคทฤษฎีเพื่อปูพื้นฐานแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือภาคปฏิบัติ โดยปีนี้ น้องๆ ที่ได้รับคัดเลือกกว่า 20 คนได้เดินทางไปยังศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จ.ภูเก็ต ระหว่างวันที่ 20 – 28 เมษายน เพื่อทำการศึกษาในภาคสนามแบบเข้มข้น ทั้งการศึกษาชายหาดชนิดต่างๆ การเยี่ยมชมป่าชายเลน การทดลองใช้เครื่องมือทันสมัยต่างๆ และการลงเรือสำรวจเพื่อปฏิบัติการศึกษาทางสมุทรศาสตร์ รวมถึงการดำน้ำศึกษาระบบนิเวศปะการัง เรียกว่าเป็นการเปิดประสบการณ์เรียนรู้ที่หาไม่ได้จากที่ไหนเลยทีเดียว
“ในความเข้มข้นของหลักสูตร เราอยากจะให้เด็กๆ ในค่ายได้รับประโยชน์มากที่สุด ด้วยความที่สถานการณ์ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาโลกรวน และอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง จึงอยากให้คนรุ่นใหม่ได้ทำการศึกษาในเชิงลึก การอนุรักษ์ต้องทำอย่างไร การเก็บข้อมูลน้ำที่มาวิเคราะห์คุณภาพน้ำต่างๆ ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย บางคนอาจจะไม่เคยใช้เครื่องมือ ก็ได้มาใช้ที่นี่ ได้ประสบการณ์จากการลงมือทำจริง นอกจากนั้นคือได้ลองโจทย์ วิจัย ได้คิดหัวข้อสัมมนาขึ้นมาจริงๆ เพื่อหาคำตอบ ทั้งหมดนี้คือเป็นจุดเด่นของค่ายที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ตั้งแต่ต้น” รศ.ดร.ลักษณ์นารา ขวัญชุม รองผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เล่าถึงภาพรวมของค่ายที่มีจุดเด่นคือการได้ลงมือทำจริง
ขับเคลื่อนการอนุรักษ์ท้องทะเลอย่างยั่งยืน
“เชื่อว่าการเข้าค่ายตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา จะทำให้เด็กรุ่นใหม่เหล่านี้ได้ตระหนักถึงปัญหามากขึ้น การสนใจเฉยๆ อาจจะแค่ฉาบฉวย แต่ถ้าเขาได้ลงลึกเข้าไปในจิตใจแล้ว หัวใจนักอนุรักษ์ดวงน้อยๆ ที่รวมกัน จะช่วยให้ขยายออกไปในสังคมรอบข้าง เป็นกระบอกเสียงหนึ่งที่ทำให้ผู้คนได้รับรู้ว่า ตอนนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้สร้างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงๆ ความรู้ที่ได้จากค่ายนี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์บอกต่อให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญและใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” รศ.ดร.ลักษณ์นารา ให้ความเห็น
“เหตุผลที่สนใจเข้าค่ายนี้ คือเป็นความชอบส่วนตัว รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ซึ่งก็เช่นเดียวกับสัตว์ในน้ำ ตัวอย่างเช่น ปะการัง เมื่อสภาพอากาศร้อนขึ้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ปะการังก็เกิดการฟอกขาวหรืออาจเกิดโรคจนตายได้ ณัฐจึงรู้สึกว่า นี่เป็นวิกฤติที่เราอยากมีส่วนร่วมในการแก้ไข” ณัฐญาดา ถั่วสวัสดิ์ นักศึกษาคณะสิ่งแวดล้อม สาขาการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล่าถึงเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมค่ายในครั้งนี้
“ในฐานะคนรุ่นใหม่ การศึกษาระบบนิเวศทางทะเลเป็นเรื่องที่สำคัญ การลงพื้นที่ดำน้ำ และสำรวจทรัพยากรทางทะเลช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับสภาพทะเลในปัจจุบัน เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถในการพัฒนาตัวเอง ตระหนักถึงปัญหา และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากร ป้องกันและฟื้นฟูได้ ผมรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลเป็นสิ่งที่ควรมีในทุกคน ไม่ว่าจะเพศใด หรือวัยใด ล้วนแต่มีส่วนร่วมในการรักษาทรัพยากรทางทะเลได้ เพราะนี่คือบ้านของเรา” ธีรเมธ ดับปาล นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศเเละนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ทิ้งท้ายถึงทุกคนที่สามารถมีส่วนช่วยให้สิ่งแวดล้อมทางทะเลดีขึ้นได้
ทั้งหมดนี้ คือเบื้องหลังความสำเร็จของค่ายนิเวศวิทยาทางทะเลภาคฤดูร้อน ครั้งที่ 32 ที่ไม่เพียงแค่ช่วยสร้างบุคลากรนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรทางทะเล แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมให้กับทุกคนในสังคมได้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม พร้อมช่วยกันลงมือแก้ไขปัญหาและอนุรักษ์ท้องทะเลไทยอย่างยั่งยืนร่วมกัน