เคยนึกสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมบางคนถึงเลือกทำ พูด หรือคิด อะไรบางอย่าง ในแบบที่เรามองว่ามันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ในทางกลับกัน เราเองก็อาจกลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่สมเหตุสมผลในสายตาคนอื่นเช่นกัน เมื่อเราต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น แต่ว่าเหตุผลนั้นมันใช้ได้แค่ไหนกันนะ?
เมื่อเราจะต้องเลือกอะไรสักอย่างในชีวิตขึ้นมา อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน อย่างเลือกร้านข้าว เลือกเส้นทางเดินทาง เราอาจเลือกไปตามอารมณ์ ความรู้สึกในตอนนั้น กลั่นกรองมันด้วยเหตุผลดีๆ อีกสักหน่อยเป็นอันใช้ได้ ค่อยๆ ขยับสเกลการใช้เหตุผลไปเรื่อยๆ ยิ่งเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมในชีวิต ยิ่งเป็นต้องคิดหน้าคิดหลังให้ถี่ถ้วน
เราจึงเคยชินกับการเป็นคนมีเหตุผลเข้าไว้ เชื่อว่าสิ่งนี้มันจะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น จากการเลือกตัวเลือกใดๆ อย่างรอบคอบ คิดหน้าคิดหลังในทุกการกระทำ เลือกไปเลือกมา เริ่มจะเหนื่อยกับการคิดทุกย่างก้าว หันซ้ายหันขวา คนที่เขาไม่ได้คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลมากนัก (ในสายตาเรา) เขาก็ยังใช้ชีวิตได้
เห็นแล้วก็ชวนสงสัย ทำไมคนเราต้องมีเหตุผล เราเป็นคนไม่มีเหตุผลได้ไหมนะ? แต่หากจะถามตอบกันด้วยความรู้สึก คงมีเรื่องให้เถียงกันไม่จบสิ้น งั้นเราลองมาทำความเข้าใจสิ่งนี้ในมุมมองของปรัชญากันดีกว่าว่าความมีเหตุผลมันสำคัญอย่างไรกับชีวิตเรา
man is a rational animal
เริ่มจากทำความเข้าใจกันก่อนว่า ‘ความมีเหตุผล’ มีนิยามแบบไหน หน้าตาประมาณไหนในมุมมองทางปรัชญา? คำตอบจาก พิพัฒน์ สุยะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่าว่า นิยามของความมีเหตุผลนั้น ไม่ได้นิยามตรงกันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักปรัชญาแต่ละคน แต่หากพูดถึงนิยามโดยทั่วไปแล้ว ความมีเหตุผลเป็นเหมือนเครื่องมือทางความคิดของคนเรา ที่เอาไว้หาข้อสรุปเพื่อนำมาสนับสนุนความคิดของเราอีกที
“มันคือกระบวนการสนับสนุนความคิดของเราที่อาศัยหลักฐานที่มี ตัวหลักฐานที่ว่านี้จะเป็นอะไรก็อีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นเวลาเราพูดถึงตัวเหตุผล มันก็คือ สมรรถนะหนึ่งของความคิดของมนุษย์ เป็นความสัมพันธ์ทางความคิด ในแง่ที่เราจะบอกว่าทำไมเราคิดแบบนี้ อยู่ดีๆ ไม่ใช่ว่าเราคิดลอยๆ หรือเรารู้สึกตามอารมณ์ของเราไปเรื่อยๆ อย่างนั้นมันไม่ใช่เหตุผล แต่ตัวเหตุผล มันมีหลักการ มีกฎเกณฑ์อะไรบางอย่างที่เราใช้ร่วมกับความคิดของเรา”
อาจารย์พิพัฒน์อ้างอิงถึงวรรคหนึ่งของอริสโตเติล (Aristotle) “man is a rational animal” มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล ช่วยชี้ว่าไอเดียของความมีเหตุผลในมนุษย์เรานั้น มันมีมาช้านาน แล้วมนุษย์เราเกิดมาพร้อมทักษะการคิดนี้ด้วย ในวัยเด็กเราเรียนรู้จะหยิบของเล่นรูปร่างต่างๆ ให้ลงในช่องรูปร่างเดียวกัน โตมาหน่อย เราเริ่มเรียนรู้แสดงความต้องการพื้นฐาน เรียนรู้ว่าสิ่งไหนปลอดภัย สิ่งไหนอันตราย อะไรเหล่านี้ก็นับเป็นเหตุผลเช่นกัน เพราะการใช้เหตุผล เป็นเหมือนความเข้าใจในเงื่อนไขแต่ละอย่างที่นำมาประกอบกัน จนมาเป็นหนึ่งข้อสรุปให้กับเรา
ความน่าสนใจคือ พอสิ่งนี้เป็นทักษะ นั่นหมายความว่าทุกคนเกิดมามีสิ่งนี้ติดตัวเหมือนกันหมด แต่ใช่ว่าทุกคนจะใช้มันได้เหมือนกันหมด แล้วแต่ว่าใครจะได้ใช้มันมากน้อยแค่ไหน ยิ่งใช้บ่อยเราจะยิ่งเชี่ยวชาญในทักษะนั้น หรือถ้าเราไม่เคยฝึก ไม่เคยได้ลองใช้ ไม่มีทักษะในการใช้เหตุผลเลย ก็อาจทำให้เราบกพร่องทางการใช้เหตุผล หรือที่เรียกว่า เป็นคนไม่ค่อยมีเหตุผลนั่นเอง
การเป็นคนมีเหตุผล จึงอาจช่วยให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นจากทั้งการพิจารณาสิ่งใดสำหรับชีวิตเราเอง และหยิบยื่นความคิดนั้นให้แก่ผู้อื่นอย่างน่าเชื่อถือ ด้วยเหตุผลที่มารองรับในทุกการกระทำของเรา แต่ตลอดขวบปีในชีวิตของเรา เราเองก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผลในทุกการกระทำ มีบ้างที่อยากจะทำอะไรตามความรู้สึกโดยไม่มีเหตุผลมาเกี่ยวข้อง หรือเคยเห็นหลายคนในสังคม ใช้ชีวิตเหมือนยังไม่ได้กดปุ่มเปิดโหมดเหตุผล นั่นหมายความว่าการมีเหตุผลเป็นตัวเลือกเฉยๆ หรือเปล่า เราจะใช้ชีวิตโดยไม่มีเหตุผลเลยได้ไหม?
“กลับมาที่คำถามว่าถ้าไม่มีเหตุผลเป็นมนุษย์ไหม ถ้าเราเอาตามนิยามข้างต้นที่บอกว่า มนุษย์คือสัตว์ที่มีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผล เราก็คงเป็นได้เพียงแค่สัตว์ แต่ในแง่ข้อเท็จจริงทางสังคม ผมว่าเหตุผลเป็นสมรรถนะที่มนุษย์มี อยู่ที่มนุษย์จะใช้ หรือมีทักษะในการใช้ได้ดีหรือไม่ต่างหาก พูดให้ถึงที่สุด มนุษย์จำเป็นต้องมีเหตุผล เพราะเหตุผลคือสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง”
“การไม่มีเหตุผลนั้นผมขอเรียกว่าเป็นการละทิ้งความเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ เพราะทุกวันนี้เรารู้จักความไม่มีเหตุผลได้ก็ด้วยความมีเหตุผล”
ในแง่ของความสำคัญ นอกจากมันจะช่วยให้เราพิจารณาสิ่งใดได้อย่างถี่ถ้วนแล้ว อาจารย์พิพัฒน์ให้คำตอบถึงความสำคัญของการมีเหตุผลในแง่อื่นด้วยว่า
“มันแทบเป็นเครื่องมือเดียวที่มนุษย์มีในการสื่อสารความคิดกับคนอื่น ความคิดในที่นี้ไม่ใช่แค่เราสื่อสารว่าเราต้องการอะไร เราคิดอะไร มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจึงต้องโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นด้วยกับแนวคิดที่เรานำเสนอ หรือเราคิดยังไง ให้คนอื่นคิดตาม เวลาเรานำเสนอความคิดให้คนอื่นคล้อยตาม มันน่าจะเป็นสิ่งที่มีเหตุผล เป็นตัวกลางให้คนอื่นเห็นด้วยกับเรา
นอกจากนี้เหตุผลไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสื่อสารทางความคิดไปยังผู้อื่นเท่านั้น แต่เหตุผลยังนำเราไปสู่การตระหนักรู้ถึงศีลธรรมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น อริสโตเติล หรือ คานท์ ก็ล้วนเห็นว่าเหตุผลจะนำเราเข้าไปสู่โลกของศีลธรรม”
อยากมีเหตุผล Logic ช่วยได้
หลายคนมองว่าวิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์ของความคิดอย่าง ตรรกวิทยา (Logic) เป็นเรื่องของคณิตศาสตร์หรือการคิดแบบเป็นระบบเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว วิชานี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของวิชาปรัชญา วิชาที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแสนนามธรรม จับต้องไม่ได้ ราวกับอยู่คนละฟากฝั่งกัน
อาจารย์พิพัฒน์อธิบายในส่วนนี้ว่าทำไมการคิดอย่างเป็นระบบ ถึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิชาปรัชญา ด้วยความที่ตรรกวิทยาว่าด้วยกฎเกณฑ์ของการใช้เหตุผล เราจึงต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ของการใช้เหตุผลไปด้วย
“คราวนี้ที่ถามว่าทำไมตรรกวิทยาถึงมาเกี่ยวข้องกับปรัชญา ก็เพราะว่านักปรัชญาใช้ตรรกวิทยาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ การวิเคราะห์ปัญหาเพื่อสร้างความชัดเจน การหาทางแก้ไขปัญหา เหล่านี้ล้วนต้องพึ่งพา ตรรกวิทยา แทบทั้งสิ้น ตรรกวิทยาถึงเป็นเครื่องมือสำคัญของปรัชญา
เราชอบพูดกันตลอดว่า ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง แต่ในวิชาตรรกวิทยามีสิ่งที่เรียกว่าเหตุผลผิดอยู่ มีเหตุผลของเราเอง แต่มันอาจจะผิดก็ได้ไง วิชานี้จึงเป็นเหมือนชุดเครื่องมืออเนกประสงค์สำหรับความคิดของเรา คล้ายๆ เราเรียนภาษาคือไวยากรณ์ ดังนั้นเราเรียนรู้ตรรกวิทยาคือกฎเกณฑ์การใช้เหตุผลนั่นเอง โดยตรรกะนี้จะทำเราไปสู่เหตุผลที่ดี เหตุผลที่ทุกคนยอมรับ เป็นเหตุผลที่ถูกกฎเกณฑ์”
ดังนั้น หากอยากจะเพิ่มทักษะการใช้เหตุผลให้กับตัวเอง ตรรกวิทยาก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สามารถช่วยให้เราใช้เหตุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใช้เหตุผลแบบผิดๆ ไปในตัว
งั้นเรามาทำความรู้จักตรรกวิทยาในฉบับเริ่มต้นกันหน่อยดีกว่า
ตรรกวิทยา (Logic) เป็นวิชาว่าด้วยวิธีการและหลักการของการให้เหตุผล ช่วยใช้ยืนยันให้เห็นความจริงอีกสิ่งหนึ่ง หรือตรวจสอบข้อโต้แย้งอย่างสมเหตุสมผล หยั่งรากลึกเป็นหัวใจสำคัญของวิชาปรัชญา คณิตศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ กฎหมาย และอื่นๆ อีกมากมาย
ในตอนต้นหน้าตาของตรรกวิทยาแบบดั้งเดิมนั้น พัฒนามาจากความคิดของอริสโตเติล แบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภท
- การอ้างเหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) เริ่มจากกฎหรือหลักทั่วไป ไปสู่ข้อสรุปเฉพาะเจาะจง ถ้าเหตุผลที่ใช้นั้นถูกต้อง เราจะสามารถอนุมานจากข้ออ้างไปข้อสรุปได้ ที่เรียกว่า สมเหตุสมผล (valid) ตัวอย่างเช่น ถ้าฝนตกแล้วถนนจะเปียก วันนี้ฝนตก ดังนั้น วันนี้ถนนจะเปียก
- การอ้างเหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning) เริ่มจากข้อมูลเฉพาะเจาะจง ไปสู่ข้อสรุปเป็นหลักทั่วไป ซึ่งข้อสรุปที่ได้นั้นจะเป็นเพียงแต่ความน่าจะเป็นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น A เป็นคนชลบุรี ชอบกินหวาน B เป็นคนชลบุรี ก็ชอบกินหวาน ดังนั้น คนชลบุรีน่าจะชอบกินหวาน
ตรรกวิทยายังคงถูกพัฒนาต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคดั้งเดิมของอริสโตเติล จนพัฒนามาเป็นตรรกวิทยาสัญลักษณ์ (Symbolic Logic) ที่เปลี่ยนข้อความมาเป็นสัญลักษณ์ เพื่อให้เราหาเหตุผลได้โดยไม่ต้องพะวงอยู่กับความซับซ้อนของภาษาธรรมชาติของข้อความ โดยคำนึงถึงเฉพาะโครงสร้างข้อความเท่านั้น โดยทั่วไปจะพบได้ในวิธีการอ้างเหตุผลแบบนิรนัย อย่างที่เราอาจคุ้นหน้าคุ้นตาตัว p, q และสัญลักษณ์ ∧, ∨, →, ↔, ~ เหมือนในคณิตศาสตร์
ในการเรียนวิชานี้จึงมีรูปแบบของการหาความสมเหตุสมผลได้หลากหลายแบบ ความสมเหตุสมผล (Validity) จึงเป็นเหมือนโครงสร้างการให้เหตุผลที่ถูกต้อง อย่างที่เราเห็นในตัวอย่าง เช่น ถ้าแดดออก เสื้อจะแห้ง วันนี้แดดออก ดังนั้น วันนี้เสื้อจะแห้ง แบบนี้สมเหตุสมผล หรือจะเป็น ถ้าฝนตก ถนนจะเปียก ถนนเปียก ดังนั้น ฝนตก แบบนี้ไม่สมเหตุสมผล
ใช่ว่าทุกเหตุผลจะใช้ได้เสมอไป
พอขยับไปสู่เนื้อหาจริงจังแล้ว เดี๋ยวสมเหตุบ้าง ไม่สมบ้าง เริ่มจะงงๆ ว่ามันออกจะห่างไกลจากภาพในใจไปเรื่อยๆ ขนาดนี้ มันจะขมวดกลับมาที่เรื่องความมีเหตุผลในชีวิตประจำวันได้ยังไงกันนะ
ต้องทำความเข้าใจว่าด้วยเนื้อหาของตรรกวิทยายังมีอีกกว้างไกลมากๆ กว่าจะถึงในส่วนนั้นก็ต้องผ่านการทำความเข้าใจเนื้อหาพื้นฐานในส่วนอื่นๆ อีกมากมาย ในแบบที่ไม่สามารถเล่าได้จบในบทความนี้บทความเดียว (แน่ล่ะ มันเป็นวิชาที่เรียนกันเป็นเทอม)
แต่คงน่าเสียดายหากไม่ได้พูดถึงเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันโดยตรงอย่าง ตรรกะวิบัติ (fallacy) เราเลยขอข้ามมาเล่าเรื่องนี้ในฉบับเบื้องต้น เอาให้พอเห็นภาพว่าตรรกะวิบัติคืออะไร แล้วการทำความรู้จักสิ่งนี้มันช่วยเรายังไงได้บ้าง
ในบทความที่เราพูดถึงมาตั้งแต่ต้น เราวนเวียนอยู่กับเรื่องของความเป็นเหตุเป็นผล เราคิด เราพูด อะไร พร่ำบอกย้ำเตือนตัวเองไว้ว่าควรจะมีเหตุผลอยู่เสมอ แต่ใครกันจะล่วงรู้เท่าทันทุกอย่างบนโลกนี้ได้ บางครั้งเหตุผลที่เราคิดว่าถูกต้องหนักหนา มั่นใจกับมันหนักหนา อาจกลายเป็นเหตุผลผิดโดยไม่รู้ตัว
ความหมายของ ตรรกะวิบัติ (fallacy) นั้น คือการอ้างเหตุผลที่บกพร่อง เกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการหาเหตุผล ทำให้เราไม่อาจเชื่อได้ว่าการให้เหตุผลนั้นนำไปสู่ข้อสรุปที่ถูกต้อง แม้บางครั้งมันอาจมาในรูปแบบที่ดูน่าเชื่อถือมาก จนเผลอไผลเชื่ออย่างนั้นหรือคิดตามไปแล้วก็ตาม
ประเภทของมันนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอีกเช่นกัน สามารถแบ่งได้หลากหลายแบบ หากจะไล่เรียงทั้งหมดคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ เราเลยขอยกตัวอย่างตรรกะวิบัติที่พบเจอได้บ่อยในชีวิตประจำวันสักส่วนหนึ่ง สะกิดเตือนให้เราหันกลับมาสำรวจตัวเองว่าเคยให้เหตุผลในทำนองนั้นไปบ้างหรือเปล่านะ
- อ้างว่าพิสูจน์ไม่ได้ (Appeal to ignorance)
ปกติแล้วเรามักจะเชื่อว่าอะไรจริง เมื่อสิ่งนั้นพิสูจน์ได้ ก็หลักฐานมันอยู่ตรงหน้าทนโท่ ก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ แต่ในกรณีนี้เป็นเหมือนคู่ตรงข้าม ตรรกะวิบัตินี้ มักจะอ้างว่า “พิสูจน์ได้ไหมล่ะ?” ไว้ก่อน เช่น การพยายามบอกว่าสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามันไม่จริง นั้นเป็นจริง หรือพยายามบอกว่าอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามันจริง ก็อาจไม่จริง สิ่งนี้มักมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ในเรื่องความเชื่อ ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ - โจมตีตัวบุคคล (appeal to the person)
อันนี้เข้าใจง่ายและเห็นกันได้บ่อยเลย มันคือการโจมตีว่าสิ่งที่คนนั้นกล่าวมาไม่น่าเชื่อถือ เพราะลักษณะบางอย่างในตัวบุคคลนั้น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนนั้นได้กล่าวถึงเลย อาจเป็นเรื่องของเพศ ศาสนา รสนิยม รูปร่าง หน้าตา เช่น คนอ้วนแบบนั้นน่ะหรอจะมาเป็นหัวหน้า เขายังควบคุมน้ำหนักตัวเองไม่ได้เลย - โจมตีหุ่นฟาง (attacking a straw man)
อีกหนึ่งตรรกะวิบัติยอดฮิตที่พบเจอได้บ่อย มันคือการเบี่ยงประเด็นไปจากเรื่องเดิม เหมือนการตั้งหุ่นฟางขึ้นมาใหม่แล้วโจมตีมัน พร้อมกับกล่าวว่านี่ไง ฉันโจมตีเธอเข้าให้แล้ว ทั้งที่มันไม่ใช่เป้าที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก เช่น ไก่เอ่ยชมนักวิ่งที่ได้ที่ 1 ว่ามีความพยายามมาก แต่เป็ดแย้งว่า ไก่กำลังหมายความว่าที่ 2 ที่ 3 เขาไม่มีความพยายามงั้นเหรอ? - ทางเลือกลวง (False Dilemma)
จากสีขาวไล่ไปสีดำ ระหว่างทางนั้นมีเฉดอันหลากหลาย แต่บางคนกลับไม่ได้มองอย่างนั้นน่ะสิ สิ่งนี้มันคือการสรุปว่าหากไม่เลือกตัวเลือกหนึ่ง จะต้องเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งแน่นอน เช่น ถ้าเธอไม่สนับสนุนพรรคเรา หมายความว่าเธออยู่พรรคฝั่งตรงข้าม - ความลื่นล้มทางเหตุผล (Slippery Slope)
เราอาจอนุมานได้ว่าเหตุการณ์ใดนำไปสู่เหตุการณ์ใด แต่ถ้ามันไม่หยุดอยู่แค่นั้นล่ะ หลายคนเลือกสรุปเหตุการณ์เอาเอง ว่ามันจะนำไปสู่เหตุการณ์อื่นๆ ต่อกันเป็นทอดๆ เช่น หากเกิด A จะทำให้เกิด B แล้วทำให้เกิด C ดังนั้น A นี่ล่ะตัวการร้ายทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด
นอกจากตัวอย่างที่ยกมา ยังมีตรรกะวิบัติอีกมากมายที่เราเคยพบเจอ หรือเผลอไผลใช้มันเสียเอง แต่เมื่อรู้แล้วว่ามันไม่ใช่การอ้างเหตุผลที่ถูก หากจะลดละเลิกตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพื่อให้เราเองสามารถอ้างเหตุผลโน้มน้าวผู้อื่นได้อย่างน่าเชื่อถือ และตัดสินใจในก้าวใดๆ ของชีวิตโดยไม่อ้างอิงอยู่กับการให้เหตุผลอย่างผิดๆ
เมื่อเข้าใจพื้นฐานบ้างแล้วจะช่วยให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่าเรากำลังเรียนรู้อะไรอยู่ หากใครสนใจสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้จากข้อความต่างๆ หรือ ตรรกวิทยาเบื้องต้น เพื่อต่อยอดความรู้ในเรื่องนี้ได้
แค่อยากเรียนรู้ไว้เพื่อกำชับให้เราคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ก็มีเหตุผลที่เราควรจะเริ่มค้นคว้าแล้วล่ะ
อ้างอิงจาก