ยังหนุ่มยังสาวกันอยู่เลย แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก
คำพูดนี้หากฟังแล้วไม่ช่วยปลุกไฟ ก็คงถือเป็นความกดดันแบบเต็มกราฟ เพราะในวัยที่ควรที่จะผลิบาน เรากลับยังเป็นแค่เมล็ดจ้อยๆ ที่มุดอยู่ในดินอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้สึกก้าวหน้าหรือเข้าใกล้ความฝันแม้แต่น้อย
ในขณะที่เมื่อเทียบกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ดูเหมือนอะไรก็ดูเป็นไปได้เสียหมด หากลงแรงและความพยายามมากพอ ทำงานไม่นานก็สามารถซื้อรถซื้อบ้าน สร้างครอบครัวได้ ส่วนเราน่ะเหรอ ทั้งๆ ที่ก็ทุ่มเทกับงานเต็มที่ สุดท้ายเงินเก็บแทบไม่มี ซื้อรถซื้อบ้านเหรอ อย่าหวัง ไม่ต้องคิดไปถึงสร้างครอบครัว เพราะแค่เอาตัวเองยังไม่รอดเลย แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซัปพอร์ตลูกๆ ได้
ภาพจำของวัยหนุ่มสาวมีพลังงานล้นเหลือ ที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ อาจจะมีอยู่จริงหากย้อนกลับไปอดีต แต่ทุกวันนี้ เมื่อโลกเปลี่ยนไป วัยหนุ่มสาวอาจไม่ใช่ช่วงที่บานสะพรั่งอีกต่อไปแล้ว วัยที่เคยเต็มไปด้วยพลัง ความฝัน และความหวัง กลับต้องมาพบกับความจริงที่ว่าโลกนี้มีพื้นที่ให้พวกเขาน้อยลงทุกที กระหน่ำซ้ำเติมอยู่ทุกวัน
ความท้อแท้ของเหล่าคนที่เพิ่งก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ครั้งแรก ไม่ได้เป็นอุปาทานหมู่บนโลกอินเตอร์เน็ต หรือเป็นเพียงคำค่อนขอดจากรุ่นพี่ที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ยืนยันได้จากงานวิจัยเกี่ยวกับความสุขของคนวัยหนุ่มสาวหลายชิ้นในระยะหลังๆ ที่พบว่าความสุขของพวกเขาหดหายไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ
อะไรที่ทำให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้ต้องจมอยู่กับความทุกข์กันบ้าง แล้วพวกเขากำลังหาทางออกภายใต้สถานการณ์นี้กันอย่างไร
เมื่อคนหนุ่มสาวไม่มีโอกาสจะผลิบาน
คำพูดที่ว่าอายุเท่านี้จะไปเหนื่อยอะไร อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป มีงานวิจัยล่าสุดจากสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ ของสหรัฐฯ ปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าความเป็นอยู่ของคนหนุ่มสาวลดลงหลายแห่งทั่วโลก จากการสำรวจประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ อย่าง ออสเตรเลีย แคนาดา ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ความสุขจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามอายุ หรือเรียกง่ายๆ ว่ายิ่งอายุน้อยเท่าไหร่ ความสุขก็ยิ่งลดลงเท่านั้น
ในขณะที่เมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนหน้า หรือช่วงก่อนปี 2015 มีหลักฐานจากหลายแห่งทั่วโลก ว่าความสุขในช่วงชีวิตคนมักเป็นเส้นโค้งรูปตัว U หมายความว่ายิ่งอายุน้อย กราฟจากช่วงแรกๆ จะยิ่งแสดงถึงความสุขมากขึ้น แต่พอถึงช่วงวัยกลางคน เส้นความสุขจะตกลงมาอยู่ด้านล่าง ก่อนจะค่อยๆ ตลบกลับสูงขึ้นในช่วงบั้นปลาย
ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าความสุขที่เราพูดถึงคืออะไรกันแน่ เพราะแต่ละคนก็ตีความคำนี้ไม่เหมือนกัน แต่ในที่นี้เรากำลังพูดถึงสิ่งนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมักพ่วงมาด้วยความพึงพอใจในชีวิต จากการศึกษา Global Flourishing Study ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน ได้สำรวจผู้คนกว่า 200,000 คนใน 22 ประเทศ แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่อาจกําลังดิ้นรนมากกว่ารุ่นก่อน ทั้งด้านการมองโลกในแง่ดี ความสงบภายใน ความหมายในชีวิต และการสร้างความสมดุลด้านต่างๆ
นั่นหมายความว่าแทนที่เหล่าคนหนุ่มสาวจะรู้สึกมีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน กลับต้องแบกรับความเครียดไว้ก่อนวัยอันควร นอกจากจะไม่รู้สึกถึงความหวังแล้ว ยังไม่แน่ใจว่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ หรือโหมงานหนักแทบตาย สุดท้ายก็เงินเก็บก็ยังน้อยนิด สิ่งเหล่านี้ทำให้เส้นโค้งจากรูปตัว U ค่อยๆ แบนราบลง
แล้วความสุขของคนหนุ่มสาวหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ในงานวิจัยชิ้นเดิมก็ยกหลักฐานในสหรัฐฯ ที่พบว่าสุขภาพจิตของคนหนุ่มสาวเริ่มแย่ลงตั้งแต่ราวปี 2012 ที่รู้ได้ก็มาจากการเริ่มสอบถามสุขภาพจิตในหมู่นักเรียน ก่อนจะพบว่าเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ เริ่มใช้สมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น จึงอาจเป็นไปได้ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารก็อาจเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้ด้วย
ไม่ใช่แค่เรื่องที่เรากล่าวไปข้างต้นเท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลายๆ ด้านพร้อมกัน กระทบกันไปเป็นลูกโซ่ไปมา ก็มีส่วนทำให้โลกนี้บีบคั้นคนหนุ่มสาวให้หาทางเอาตัวรอดอย่างสุดชีวิต จากข้อมูลของ World Economic Forum อธิบายถึงสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คนหนุ่มสาว มีความสุขลดลงไว้ 3 ด้าน คือ
เศรษฐกิจ: ต้องยอมรับว่าการเงินเป็นอุปสรรคใหญ่ที่คนรุ่นใหม่ก้าวข้ามไปยากกว่าคนรุ่นก่อน แม้ว่าจะทุ่มเทกับงานมากแค่ไหน หรือเรียนจบในคณะที่ตลาดต้องการ แต่ไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น บวกกับตำแหน่งงานน้อยลง การแข่งขันสูงขึ้นยิ่งทำให้การสร้างความมั่นคงยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ไหนจะค่าใช้จ่ายอีกสารพัด ทั้งค่าที่อยู่อาศัย ค่าหนี้การศึกษา และค่ารักษาพยาบาล ที่จ่อคิวรอให้จ่ายทุกเดือนจนแทบไม่เหลือเก็บ เป้าหมายในชีวิตที่อยากจะมีบ้าน มีครอบครัว คงต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ เมื่อไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ ก็ไม่แปลกหากคนหนุ่มสาวจะรู้สึกท้อแท้ เพราะเหมือนว่าตัวเองไม่ทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันสักที
สังคมและเทคโนโลยี: อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าสมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียมีผลต่อความสุข เพราะแม้จะเป็นเครื่องมือให้เราพบปะผู้คนได้ง่ายขึ้น แต่อีกด้านก็ทำให้เราเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจในตัวเอง จากการได้เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จตลอดเวลา มีปัญหาสุขภาพจิตมากมายที่มีโซเชียลมีเดียเป็นต้นเหตุ ดังเช่นในงานวิจัยปี 2023 พบว่าการใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้าและความเหงาในคนหนุ่มสาว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสังคม เช่น หลายคนย้ายออกจากบ้านเพื่อเข้ามาทำงานในเมือง รวมถึงการพบเจอแบบเห็นหน้าน้อยลง ยิ่งทำให้รู้สึกเหงาและความแปลกแยกทวีคูณขึ้น
ความไม่แน่นอนของสิ่งแวดล้อมและการเมือง: แม้จะได้ยินเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มานาน แต่ทุกวันนี้ปัญหานี้ก็ยังคงอยู่ และดูท่าว่าหลายคนจะชินชากับมันไปแล้ว นั่นเพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นปัญหาใหญ่ ที่ไม่สามารถแก้ได้ตัวคนเดียว ดังนั้นความกดดันจึงตกมาเป็นของคนรุ่นใหม่ที่ต้องอาศัยอยู่ในโลกใบเดิม แถมยังต้องเผชิญความแปรปรวนสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ ภัยธรรมชาติ โรคระบาด ฝุ่นพิษให้หาทางรับมืออยู่ตลอดตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่เพียงแต่ธรรมชาติ แต่ยังรวมไปถึงความขัดแย้งทางการเมือง ที่เป็นบ่อเกิดของความสิ้นหวังในคนรุ่นใหม่ เห็นได้จากรายงานของยูนิเซฟปี 2023 ระบุว่า เยาวชนในพื้นที่ความขัดแย้ง เช่น ซีเรียและเยเมน มีอัตราความวิตกและซึมเศร้าสูงอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ว่าทั้งหมดที่ว่ามาจะส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก แต่สิ่งเหล่านี้กลับส่งผลต่อคนวัยหนุ่มสาวมากเป็นพิเศษ เพราะแต่ละด้านล้วนฉุดรั้งให้คนหนุ่มสาวไม่ก้าวไปข้างหน้า และพรากความหวังที่จะสร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง ความไม่มั่นใจทำให้รู้สึกไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ๆ รวมถึงความไม่แน่นอนก็ทำให้วางแผนระยะยาวได้ยากขึ้น ดังนั้นแทนที่จะเป็นช่วงเวลาที่คนหนุ่มสาวได้ใช้พลังของตัวอย่างเต็มที่ กลับต้องเติบโตมาพบกับความจริงเหล่านี้ที่พร้อมจะโบยตีได้ทุกเมื่อ จนสุดท้ายความสุขค่อยๆ หล่นหายไปตามทาง
นิยามใหม่ของความสุข
เมื่อโลกจะบีบให้คนหนุ่มสาวมีความสุขน้อยลงเกือบทุกด้าน หน้าตาชีวิตอันสมบูรณ์แบบกลายเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม จึงไม่แปลกหากคนรุ่นใหม่จะพยายามหามองหาช่องว่างอันน้อยนิดที่จะทำให้มีความสุขมากขึ้น ด้วยการนิยามความสุขเสียใหม่ จากความสำเร็จที่ใหญ่โต ก็เปลี่ยนเป็นสิ่งเล็กๆ ที่จับต้องได้มากขึ้น แม้บางครั้งจะหมายถึงการปฏิเสธค่านิยมเก่าๆ ที่คนรุ่นก่อนเคยยึดถือไว้ก็ตาม
ทุกวันนี้จะเห็นว่าสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย จากผลสำรวจของ deloitte บริษัทตรวจสอบบัญชียักษ์ใหญ่ 1 ใน 4 ของโลก ได้สำรวจสิ่งที่คนรุ่นใหม่ Gen Z และ Millennial ให้ความสำคัญประจำปี 2025 รวมถึงรายงาน What Matters 2025 บริษัทวิจัยด้านการตลาด ก็เห็นถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป โดยสรุปไว้หลักๆ 3 เรื่อง คือ
เลือกงานที่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง: ปฏิเสธไม่ได้ว่างานเป็นส่วนสำคัญของชีวิต จะสุขหรือทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับงาน ดังนั้นการโหมงานหนัก เพื่อแลกกับเงินอาจไม่ได้ผล ในปัจจุบันที่ความสุขหายากขึ้นทุกวัน คนรุ่นใหม่จะมองหางานที่มีครบ จบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นค่าตอบแทนคุ้มค่า เป็นงานที่มีความหมาย รู้แน่ๆ ว่าทำไปแล้วช่วยอะไรกับใคร และสุดท้ายยังต้องเป็นงานที่มีบาลานซ์ อนุญาตให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตด้านอื่นๆ ด้วย ซึ่งจากผลสำรวจพบว่าเกือบ 9 ใน 10 ของคนรุ่นใหม่ มองว่างานที่มีความหมายช่วยให้ความเป็นอยู่และสุขภาพจิตของตัวเองดีขึ้น
มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ: ทุกวันนี้หากจะรอให้ประสบความสำเร็จก่อนแล้วค่อยฉลองก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ และไม่แน่ว่าวันนั้นอาจไม่มาถึงเลยก็ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเน้นความสุขเล็กๆ ในแต่ละวัน ให้รางวัลตัวเองเล็กๆ เช่น ซื้อของหวานที่อยากกินหลังจากจบวัน หรือพาตัวเองไปเดินเล่นที่สวนในสุดสัปดาห์ เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำสำเร็จไปหนึ่งก้าว แถมยังใช้เงินไม่มากที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้น จะให้คุยเล่นๆ แค่ในแอป อย่างเดียวก็อาจทำให้เหนื่อยล้ากว่าเดิม เพราะอยู่กับหน้าจอมาทั้งวัน การได้ออกมาพบปะกับผู้คนจริงๆ ได้คุยอะไรลึกซึ้งด้วยกันก็ช่วยเติมเต็มให้พวกเขามีกำลังใจฟันฝ่าอุปสรรคยากๆ ไปอีกวัน
ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: เพราะคนหนุ่มสาวยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่ใกล้ผุพังนี้ไปอีกนาน พวกเขาจึงพยายามที่จะใช้ชีวิตให้ส่งผลกระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด กว่าจะตัดสินใจซื้อของ 1 ชิ้น นอกจากจะดูที่การใช้งานและความคุ้มค่าแล้ว เพื่อไม่ต้องรู้สึกผิดทีหลังพวกเขายังพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองกำลังจะซื้อด้วยว่าสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังไง ใครเป็นคนได้รับผลกระทบจากสินค้านี้บ้าง และยอมจ่ายเงินมากขึ้นหากรู้ว่าสินค้านั้นยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วย เพราะหากไม่เริ่มตั้งแต่ต้นทาง สุดท้ายปัญหาสิ่งแวดล้อมก็จะวนกลับมาหาพวกเขาอยู่ดี
เมื่อโลกเปลี่ยนไป หน้าตาของความสุขจึงเปลี่ยนตาม การสร้างความสุขของคนรุ่นใหม่ แม้จะดูต่างไปจากคนรุ่นก่อนๆ จนอาจถูกมองว่าทำแต่เรื่องง่ายๆ ไม่ทนงาน หรือเอาแต่อยู่ในโลกของตัวเอง แต่เมื่อดูสถานการณ์ความเป็นจริงแล้ว แทบไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนวัยหนุ่มสาวจะรับมือกับปัญหาใหญ่ๆ เหล่านี้ได้ทั้งหมด ดังนั้นเทรนด์เหล่านี้ในแง่หนึ่งก็อาจเป็นการรับมือต่อโลกความจริงอันยากลำบากที่คนรุ่นใหม่ต้องเจอ
เพราะในโลกที่ความสุขเหลือน้อยเต็มที การเอนจอยเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าก็คงเป็นวิธีที่ง่ายกว่าการรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต ที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่าก็ได้
อ้างอิงจาก